นายภาคภูมิ ศรีถาวร
ค.บ. (ภาษาไทย) ,ศน.ม. (พุทธศาสน์ศึกษา)
๑.ธัมมสังคณี ว่าด้วยการรวมกลุ่มธรรมะ คือการจัดระเบียบธรรมะที่กระจายกันอยู่ โดยจัดธรรมะต่างๆ ที่กระจายกันอยู่มากมายมาไว้เป็นหัวข้อสั้นๆ เหมือนคำชี้ส่วนเครื่องยนต์ต่างๆ มาประกอบเป็นเครื่องยนต์ทั้งเครื่อง เช่น กุศลธรรม, อกุศลธรรม, อัพยากตธรรม เป็นตัน
ข้อความในจิตตุปปาทกัณฑ์ อรูปาวจรกิริยา อัพยากตธรรม กล่าวถึง นิพพาน เป็นอัพยากตธรรม ดังนี้
ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน?
พระขีณาสพ เจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรมวิบาก แต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะได้โดยประการทั้งปวง จึงบรรลุจตุตถฌานอันสหรคตด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพระละสุข ละทุกข์ได้ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
(พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๓๔ ข้อ ๔๙๙ หน้าที่ ๑๖๖ )
ในอภิธรรมปิฎก ธัมมสังคณี อธิบายว่า ปรมัตถธรรม ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน โดยประเภทของกุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรมนั้น
กุศลจิตและเจตสิก เป็น กุศลธรรม
อกุศลจิตและเจตสิก เป็น อกุศลธรรม
วิบากจิตและเจตสิก เป็น อัพยากตธรรม
กิริยาจิตและเจตสิก เป็น อัพยากตธรรม
รูปทุกรูป เป็น อัพยากตธรรม
นิพพาน เป็น อัพยากตธรรม
ดังมาติกา ธรรมเป็นกุศล ธรรมเป็นอกุศล ธรรมเป็นอัพยากฤต
๒.วิภังค์ ว่าด้วยการแยกกลุ่ม คือกระจายออกจากกลุ่มใหญ่เพื่อให้เห็นรายละเอียด เช่นขันธ์ ๕ มีอะไรบ้าง แต่ละข้อแยกออกไปอย่างไรได้อีก เปรียบได้กับการถอดส่วนประกอบเครื่องยนต์ออกจากตัวเครื่องยนต์ที่ประกอบอยู่เดิม
จากข้อความในวิภังค์ โลกกิยทุกวาร กล่าวถึงการจำแนก โลกุตตรธรรม โลกิยธรรม ลงใน ขันธ์ อายตนะ ธาตุ สัจจะ อินทรีย์ ดังข้อความต่อไปนี้
โลกิยทุกวาร
บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์ไหน เป็นโลกิยธรรม ขันธ์ไหนเป็นโลกุตตรธรรม ฯลฯ
บรรดาขันธ์ ๕ ขันธ์ไหน เป็นโลกิยธรรม ขันธ์ไหนเป็นโลกุตตรธรรม ฯลฯ
ขันธ์ ๕ รูปขันธ์ เป็นโลกิยธรรม ขันธ์ ๔ เป็นโลกิยธรรมก็มี เป็นโลกุตตรธรรมก็มี
อายตนะ ๑๒ อายตนะ ๑๐ เป็นโลกิยธรรม อายตนะ ๒ เป็นโลกิยธรรมก็มี เป็นโลกุตตรธรรมก็มี
อายตนะ ๑๒ อายตนะ ๑๐ เป็นโลกิยธรรม อายตนะ ๒ เป็นโลกิยธรรมก็มี เป็นโลกุตตรธรรมก็มี
ธาตุ ๑๘ ธาตุ ๑๖ เป็นโลกิยธรรม ธาตุ ๒ เป็นโลกิยธรรมก็มี เป็นโลกุตตรธรรมก็มี
สัจจะ ๔สัจจะ ๒ เป็นโลกิยธรรม สัจจะ ๒ เป็นโลกุตตรธรรม ( นิโรธสัจจะ มรรคสัจจะ)
อินทรีย์ ๒๒ อินทรีย์ ๑๐ เป็นโลกิยธรรม อินทรีย์ ๓ เป็นโลกุตตรธรรม อินทรีย์ ๙ เป็นโลกิยธรรมก็มี
เป็นโลกุตตรธรรมก็มี
เป็นโลกุตตรธรรมก็มี
(พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๓๕ ข้อ ๑๑๑๘ หน้าที่ ๖๔๔ )
๓. ธาตุกถา ว่าด้วยธาตุ คือ สิ่งอันเป็นต้นเดิมของธรรมะ เช่น ธาตุที่สงเคราะห์เข้ากันได้กับธาตุที่สงเคราะห์เข้ากันไม่ได้ เป็นต้น กล่าวถึงสิ่งที่มีอยู่จริงโดยมีลักษณะเฉพาะตน แต่ธาตุในที่นี้ ต่างจากธาตุทางวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นธาตุทางธรรม
จากข้อความในธาตุกถา สัจจะ๔ ได้จำแนกสัจจะ ๔ ว่าสงเคราะห์กับขันธ์ ธาตุ อายตนะ ดังต่อไปนี้
ทุกขสัจ สมุทยสัจ มรรคสัจ และนิโรธสัจ ยกเว้นอสังขตะ ออกจากขันธ์ สงเคราะห์ได้ด้วยขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ สงเคราะห์ ไม่ได้ด้วยขันธ์ อายตนะ ธาตุ เท่าไร? ไม่มีขันธ์ อายตนะ ธาตุ อะไรๆ ที่สงเคราะห์ไม่ได้
(พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๓๖ ข้อ 40 หน้า ๔ )
อธิบายข้อความนี้จากคัมภีร์ปรมัตถโชติกะ ของพระสัทธรรมโชติกะ ( ๒๕๑๔ : ๑๓๕ ) ที่อธิบายคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะไว้ ดังนี้
๑. ทุกขสัจจะ องค์ธรรม ได้แก่ โลกียจิต ๘๑ เจตสิก ๕๑ (เว้นโลภะ) รูป ๒๘
๒. สมุทยสัจจะ องค์ธรรม ได้แก่ โลภเจตสิก
๓. นิโรธสัจจะ องค์ธรรม ได้แก่ นิพพาน
๔. มรรคสัจจะ องค์ธรรมได้แก่ มัคคังคเจตสิก ๘ ดวง มีปัญญาเจสิก เป็นต้น ที่มรรคจิต ๔
๔.ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยบัญญัติบุคคล โดยกล่าวถึงคุณธรรมสูงต่ำของบุคคล เช่น ผู้พ้นได้เป็นคราวๆ คือ บางคราวก็ละกิเลสได้ บางคราวก็ละไม่ได้ และ ผู้พันตลอดไป ไม่ขึ้นอยู่กับคราวสมัย ได้แก่ผู้ละกิเลสได้เด็ดขาด เป็นต้น
๑.บุคคลผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมตรัสรู้สัจจะทั้งหลายด้วยตนเอง ในธรรมทั้งหลายที่ตนมิได้เคยสดับมาแล้วในกาลก่อน บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้นๆ และบรรลุความเป็นผู้มีความชำนาญในธรรม เป็นกำลังทั้งหลายนี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๒. บุคคลผู้เป็นพระปัจเจกพุทธะ เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมตรัสรู้สัจจะทั้งหลายด้วยตนเอง ในธรรมทั้งหลายที่ตนมิได้เคยสดับมาแล้วในกาลก่อน แต่มิได้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูในธรรมนั้น ทั้งไม่ถึงความเป็นผู้ชำนาญในธรรมอันเป็นกำลังทั้งหลาย นี้เรียกว่าบุคคลผู้เป็นพระปัจเจกพุทธะ
๓. บุคคลผู้เป็นอุภโตภาควิมุต เป็นไบุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา นี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นอุภโตภาควิมุต
๔. บุคคลผู้เป็นปัญญาวิมุต เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา นี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นปัญญาวิมุต
๔. บุคคลผู้เป็นปัญญาวิมุต เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา นี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นปัญญาวิมุต
๕. บุคคลผู้เป็นกายสักขี เป็นไฉนบุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา นี้เรียกว่าบุคคลผู้เป็นกายสักขี
๖. บุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯนี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้วผู้นั้นเห็นชัดด้วยปัญญา ดำเนินไปด้วยดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้น ก็หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา นี้เรียกว่าบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ
๗.บุคคลผู้เป็นสัทธาวิมุต เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯนี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศ ผู้นั้นเห็นชัดด้วยปัญญา ดำเนินไปด้วยดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มิใช่เหมือน บุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะนี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นสัทธาวิมุต
๗.บุคคลผู้เป็นสัทธาวิมุต เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯนี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศ ผู้นั้นเห็นชัดด้วยปัญญา ดำเนินไปด้วยดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มิใช่เหมือน บุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะนี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นสัทธาวิมุต
๘.บุคคลผู้เป็นธัมมานุสารี เป็นไฉน ปัญญินทรีย์ ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผลมีประมาณยิ่ง บุคคลนั้นย่อมอบรมอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นตัวนำ มีปัญญาเป็นประธาน นี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งแล้วอยู่ในผล ชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ
๙.บุคคลผู้เป็นสัทธานุสารี เป็นไฉน สัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติ เพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล มีประมาณยิ่ง ย่อมอบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นตัวนำ มีสัทธาเป็นประธานนี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นสัทธานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผลชื่อว่าสัทธานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต
(พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๓๖ ข้อ ๑๕๑ หน้า ๑๙๘ )
(พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๓๖ ข้อ ๑๕๑ หน้า ๑๙๘ )
๕. กถาวัตถุ ว่าด้วยเรื่องของถ้อยคำ หรือการตั้งคำถามคำตอบเพื่อชี้ให้เห็นหลักธรรมที่ถูกต้องทางพระพุทธศาสนา
กถาวัตถุ ได้มีการตั้งคำถามเกี่ยวกับนิพพาน ผู้เขียนได้สรุปมา ดังข้อความต่อไปนี้
คำถามเรื่องวิธีการบรรลุนิพพาน
สกวาที การบรรลุอรหัตผลมีแก่สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ หรือ?
ปรวาที ถูกแล้ว
(พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๓๗ ข้อ ๑๘๖๕ หน้า ๘๒๘)
๖. ยมก ว่าด้วยธรรมะเป็นคู่ มี ๑๐ ยมก เป็นการยกหัวข้อธรรมขึ้นวินิจฉัยด้วยวิธีถามตอบ โดยตั้งคำถามย้อนกันเป็นคู่ๆ
ตัวอย่างคำถาม คำตอบที่เกี่ยวกับลำดับจิตที่เริ่มเข้านิพพาน ในธรรมยมก มีดังนี้
อนุโลมปุจฉา กุศลธรรมของสัตว์ใด ในภูมิใด ย่อมดับไป อกุศลธรรมของสัตว์นั้น ในภูมินั้นจักดับไปหรือ
อนุโลมปุจฉา กุศลธรรมของสัตว์ใด ในภูมิใด ย่อมดับไป อกุศลธรรมของสัตว์นั้น ในภูมินั้นจักดับไปหรือ
วิสัชนา ในภังคขณะแห่งอรหัตมรรค สัตว์เหล่าใดจักได้เฉพาะซึ่งอรหัตมรรค ในลำดับแห่งจิตใด ในภังคขณะแห่งจิตนั้น กุศลธรรมของสัตว์เหล่านั้น ในภูมินั้นย่อมดับไป แต่อกุศลธรรมของสัตว์เหล่านั้น ในภูมินั้น จักดับไปก็หาไม่ กุศลธรรมของสัตว์เหล่านั้น ในภูมินั้น คือสัตว์นอกนี้ ย่อมดับไป ในภังคขณะแห่งกุศล และอกุศลธรรม ก็จักดับไป
ปฏิโลมปุจฉา หรือว่า อกุศลธรรมของสัตว์ใด ในภูมิใด จักดับไป กุศลธรรมของสัตว์นั้น ในภูมินั้น ย่อมดับไป
ปฏิโลมปุจฉา หรือว่า อกุศลธรรมของสัตว์ใด ในภูมิใด จักดับไป กุศลธรรมของสัตว์นั้น ในภูมินั้น ย่อมดับไป
วิสัชนา อกุศลธรรมของสัตว์เหล่านั้น คือสัตว์ทั้งหมด ในอุปปาทขณะแห่งจิตในภังคขณะแห่งกุศลวิปปยุตตจิต จักดับไป แต่กุศลธรรมของสัตว์เหล่านั้น ในภูมินั้น ย่อมดับไปก็หาไม่ ในภังคขณะแห่งกุศล อกุศลธรรมของสัตว์เหล่านั้นในภูมินั้น จักดับไป และกุศลธรรม ก็ย่อมดับไป
(พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๓๙ ข้อ ๒๕๘ หน้า ๙๘ )
๗. ปัฏฐาน ว่าด้วยที่ตั้งคือปัจจัย ๒๔ แสดงให้เห็นว่าธรรมทั้งหลายมีเหตุมีปัจจัยให้เกิด มิได้เกิดเอง หรือมีใครสร้างขึ้น อะไรเป็นปัจจัยของอะไรในทางธรรม
ตัวอย่าง ปัจจัยที่ให้ผลไม่มีระหว่างคั่นคือ หน้าที่ของอันตรปัจจัย คือ เมื่อมรรคจิตเกิดแล้ว ผลจิตต้องเกิดขึ้นตามมา ไม่มีอะไรมาคั่น ด้วยอันตรปัจจัยให้ผลเป็นนิพพาน ดังใน กุสลติกะ ปัญหาวาระ ข้อความต่อไปนี้
กุศลธรรม เป็นปัจจัยแก่กุศลธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ กุศลขันธ์ที่เกิดขึ้นก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่กุศลขันธ์ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทานโคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรคโวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอนันตรปัจจัย กุศลธรรม เป็นปัจจัยแก่อัพยากตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ กุศลเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ มรรค เป็นปัจจัยแก่ผผล อนุโลมญาณของพระเสขะ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนกุศล ของพระอริยบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย
(พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๔๐ ข้อ ๕๐๕ – ๕๐๖ หน้า ๒๒๗)
๔. สรุป
พระอภิธรรมปิฎกไม่ได้กล่าวถึงนิพพานไว้เป็นข้อให้ได้ศึกษาโดยตรง หากแต่กระจายรายละเอียดย่อยๆ ไปอยู่ในคัมภีร์ต่างๆทั้ง ๗ คัมภีร์ การศึกษานิพพานโดยตรงจากพระอภิธรรมจึงเป็นเรื่องยาก
ผู้ศึกษาจึงต้องเรียน คัมภีร์ต่างๆเพื่อเป็นพื้นฐานในการเข้าใจพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งมีคัมภีร์อภิธรรมมัตถสังหะ ของพระอนุรุทธาจารย์ คัมภีร์ปรมัตถทีปนี ของพระญาณธชะ คัมภีร์อภิธัมมาวตาร ของพระพุทธทัตตเถระ คัมภีร์เหล่านี้ก่อให้เกิดความเข้าใจอภิธรรมปิฎกได้
บทความนี้ มุ่งศึกษานิพพานในพระอภิธรรมปิฎก ก็พอจะทำให้เห็นแนวทางที่จัดเนื้อหาเกี่ยวกับนิพพานได้ตามสมควร เช่น การสังเคราะห์ การแยกแยะ การตั้งคำถามเป็นคู่ๆ การพิจารณาโดยปัจจัย
________________________________
บรรณานุกรม
ข้อมูลปฐมภูมิ
กรมการศาสนา. (๒๕๒๕). พระไตรปิฎกภาษาไทย.พิมพ์ครั้งที่ ๔ กรุงเทพฯ : กรมการศาสนา.
ข้อมูลทุติยภูมิ
คันธสาราภิวงศ์,พระ.(๒๕๕๒). อภิธรรมมัตถสังหะและปรมัตถทีปนี. กรุงเทพฯ : ประยูรศาสน์.
________________.(๒๕๔๙). คัมภีร์อภิธัมมาวตาร. กรุงเทพฯ : ไทยรายวันการพิมพ์.
สรรพกิจโกศล, ขุน (โกวิท ปัทมะสุนทร).(๒๕๓๗).คู่มือการศึกษาพระอภิธรรมทางอากาศ
ปริจเฉทที่ ๖. กรุงเทพฯ : สหธรรมิก.
สัทธัมมโชติกะ,พระ.(๒๕๑๔).ปรมัตถโชติกะ จูฬอาภิธรรมิกะโท. กรุงเทพฯ : ไพศาลวิทยา.
ชอบมาก
ตอบลบ